วิดิโอบรรยากาศภายในงาน
วิทยาการน่าทึ่งในโลกมุสลิม
วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556
การแพทย์อิสลามต่อเรอเนสซองยุโรป
ช่วงสิ้นสุดศตวรรษที่
15 ยุโรปตื่นตัวด้านความรู้,
วัฒนธรรม, และวิทยาศาสตร์ไปทั่วทั้งทวีป
จากนั้นเรอเนสซองหรือการฟื้นฟูศิลปวิทยาการก็ได้ก่อกำเนิดขึ้น
วิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นส่วนหนึ่งของแสวงหาทางปัญญาในช่วงนี้
ซึ่งเป็นผลมาจากโรงเรียนแพทย์จำนวนมากมายที่ก่อตั้งขึ้นมาทั่วยุโรป
การแพทย์อิสลามมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการก่อตั้งและการพัฒนาของโรงเรียนแพทย์ในยุโรป
โดยเฉพาะในโรงเรียนแพทย์แห่งแรกๆ เช่นที่ซาแลร์โน ด้านใต้ของอิตาลี
และที่มองเปลิเอและปารีสในฝรั่งเศส
ช่วงยุคทองของศิลปวิทยาการอิสลามเมื่อ 1,000 ก่อนหน้านี้
ชาวอาหรับมิได้ทำแค่เพียงแปลตำรากรีกมาเท่านั้น
พวกเขาสร้างแพทย์ชื่อดังจนเป็นตำนานของยุค, ตัวยารักษาอาการป่วยไข้ซึ่งในสมัยก่อนหน้านั้นยังไม่มีใครรู้จัก,
และท้ายที่สุดคือโรงเรียนแพทย์ของพวกเขาซึ่งกลายเป็นแม่แบบของโรงเรียนแพทย์ในโลกตะวันตก
ยุโรปได้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์แบบเดียวกับอาหรับขึ้นมา, จัดระเบียบองค์กรเหมือนกัน, และก็สอนหลักสูตรเดียวกัน
เราจะมาดูกันถึงการแพทย์อิสลามในศตวรรษที่ 10 จากนั้นก็เป็นบทบาทของการแพทย์อิสลามต่อการแพทย์ยุโรปในช่วงการตื่นตัวทางปัญญาของยุโรปและต่อมาด้วยยุคเรอเนสซอง
ย้อนหลังไปไกลถึงศตวรรษที่ 10 วงการแพทย์อิสลามประกอบไปด้วย
3 ส่วนคือ
1.องค์กรทางการแพทย์แบบใหม่
2.แพทย์ศาสตร์หรือเวชกรรมแบบใหม่
3.เภสัชตำรับแบบใหม่
1. องค์กรทางการแพทย์
องค์กรทางการแพทย์ของอิสลามต่างจากของกรีกโบราณ
เพราะองค์กรทางการแพทย์อิสลามประกอบด้วย ‘โรงเรียนแพทย์’
ซึ่งสอนทฤษฎี, ‘ห้องสมุด’ ที่ล้นหลามไปด้วยหนังสือสาขาต่างๆ, และ ‘โรงพยาบาล’ ให้นักเรียนได้ฝึกฝนรักษาคนไข้โดยตรงและจำแนกแยกแยะอาการของโรค
ตัวอย่างของโรงพยาบาลที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนแพทย์ได้แก่
โรงพยาบาลแบกแดด (อิรัก), โรงพยาบาลเรย์, โรงพยาบาลอิบนุ ตูลูน (อียิปต์)
นอกจากนี้แล้ว องค์กรนี้ยังวางเขื่อนไขให้นักเรียนที่ต้องการศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการที่มีประธานคณะกรรมการเป็นนักวิทยาศาสตร์
คณะกรรมการชุดนี้ยังมีอำนาจถอนใบอนุญาตของแพทย์รายนั้นได้หากพิจารณาแล้วเห็นว่าแพทย์คนนั้นมีความรู้ไม่เพียงพอ
2. แพทย์ศาสตร์หรือเวชกรรมแผนใหม่
การแพทย์แผนใหม่ของมุสลิมมีพื้นฐานบนการสังเกต
ซึ่งคล้ายคลึงกับแพทย์สมัยโบราณ
แต่การแพทย์อิสลามได้พัฒนาให้จำแนกแยกแยะลักษณะอาการของโรคเป็นหลายๆ ประเภท
ซึ่งระบบนี้ทำให้แพทย์สามารถอธิบายอาการป่วยแบบใหม่ๆ ได้หลายอย่างเช่น โรคไข้ทรพิษ
(ฝีดาษ) ที่อธิบายโดย ราเซส (Rhases หรือ อัล-ราซี Al-Rasi
ค.ศ.865-925) และ อวิเซนนา (Avicenna หรือ อิบนุซินา Ibn Sina ค.ศ.980-1037), โรคหัด, เยื่อหุ้มปอดอักเสบ, และอื่นๆ
ตำราชุด Continen ของราเซสประกอบด้วยหนังสือถึง
70 เล่ม ได้รวบรวมความรู้ด้านการแพทย์ในสมัยศตวรรษที่ 10
ไว้ทั้งหมด ส่วนตำรา ‘อัล-กอนูน’
(Qanun หรือ Canon of Medicine) ของอวิเซนนานั้นเขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
ครอบคลุมการแพทย์ทุกสาขา และได้กลายมาเป็น ‘ไบเบิลของวงการแพทย์’
ของโลกยุคกลาง
อัล-กอนูนใช้เป็นตำราแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทย์ยุโรปจนถึงปี 1650 อวิเซนนาได้รับสมญานามว่า ‘เจ้าชายแห่งวงการแพทย์’
3. เภสัชตำรับแผนใหม่
ชาวอาหรับพัฒนาสารหรือยาที่ใช้ในการรักษาโรคยุคแรกๆ
พวกเขาจัดระบบยาและกฎของศาสตร์ด้านนี้ เราสามารถดูได้จากหนังสือ Nichajat
ar Rutba ที่เขียนขึ้นในปี 1236 ส่วนฉบับสำเนาที่คัดลอกในศตวรรษที่
15 ยังถูกเก็บรักษาไว้ที่กรุงซาราเยโว ประเทศบอสเนีย
สิ่งเหล่านี้ทำให้การแพทย์อิสลามขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว และตั้งแต่ศตวรรษที่ 10
แล้วที่ชื่อต่อไปนี้ถูกจารึกไว้ในวงการแพทย์ ทั้ง ราเซส ในอิหร่าน,
อัล-มากูดี (Al-Macoudy) และอาลีอิบนุ อับบาส
อัล-มาจูซี (Ali ibn Abbas al-Majusi เสียชีวิตค.ศ.982-994)
ในอิรัก, อิบนุ อัล-จัซซาร์ (Ibn
al-Jazzar ค.ศ.855-955) ในตูนีเซีย, และ ‘อัลบูคาซิส’ (Albucasis หรือ
อัล-ซาฮ์ราวี Al-Zahrawi ค.ศ.936-1013) ในสเปน
ยุโรปได้ประโยชน์จากพัฒนาการในวงการแพทย์อิสลามเพราะมีชาวยุโรปจำนวนมากเข้าศึกษาในโรงเรียนอิสลามและโดยเฉพาะที่เมืองกอร์โดบา
อาณาจักรมุสลิมสเปน เฉพาะที่มีชื่อเสียงได้แก่ เกอร์เบิร์ตแห่งออริแลค (Gerbert
of Aurillac ค.ศ.946-1003 ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นโป๊ปซิลเวสเตอร์ที่
2), เจอราดแห่งครีโมนา (Gerard of Cremona ค.ศ.1114-87), Arnaldus de Villanueva (ค.ศ.1235-1311),
คอนสแตนติน ดิอาฟริกัน (Constantine the African หรือ Constantinus Africanus ค.ศ.1020-87), และอื่นๆ
โรงเรียนแพทย์แห่งแรกๆ
ในยุโรปเป็นที่รู้จักกันก็เพราะตำราแพทย์อิสลาม ได้แก่
โรงเรียนแพทย์ซาแลร์โนในอิตาลี, มองเปลิเอและปารีสในฝรั่งเศส
หัวใจแห่งการเข้าใจ
นักปราชญ์ในยุคคลาสสิคสร้างทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับการทำงานของร่างกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่ของหัวใจในการสูบฉีดโลฮิตไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
กาเลน
แพทย์ชาวกรีก สังเกตว่า หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็นสองห้อง และเชื่อว่าโลหิตไหลจากห้องขวาไปยังห้องซ้าย
โดยซึมผ่านรูเล็กๆ ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
การสันนิษฐานที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการไหลของโลหิตผ่านหัวใจ
อิบนิ อัล-นาฟิส
อิบน์
อัล-นาฟิส
แพทย์ชาวอาหรับนามว่า อิบน์ อัล-นาฟิส (Ibn
al-Nafis, ค.ศ. 1210 - ค.ศ. 1288) เป็นหนึ่งในคนแรกๆ
ที่เสนอการชำแหละร่างกายมนุษย์และการชันสูตรศพ และในปี ค.ศ. 1242 เขาเป็นคนแรกที่อธิบายระบบการไหลเวียนปอด
(pulmonary circulation) และระบบไหลเวียนโคโรนารี
(coronary circulation) ซึ่งเป็นพื้นฐานของความรู้เรื่องระบบไหลเวียนโลหิต เขาจึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งทฤษฎีการไหลเวียน อิบน์
อัล-นาฟิสยังเป็นผู้ที่อธิบายความคิดแรกเริ่มของเมแทบอลิซึมและได้พัฒนาระบบการศึกษากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาขึ้นมาแทนที่ลัทธิของอวิเซนนาและกาเลน
ด้วยการล้มล้างความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับทฤษฎี humorism, การคลำชีพจร, กระดูก, กล้ามเนื้อ, ลำไส้, อวัยวะรับความรู้สึก,
ท่อน้ำดี,หลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร, และกายวิภาคของร่างกายมนุษย์แทบทุกส่วน
แผนภาพอธิบายระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย ของ อิบนิ อัล นาฟิส
วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556
ด้านการแพทย์อิสลาม
ด้านการแพทย์อิสลาม
กล่าวได้ว่าเป็นการค้นพบที่มีค่าและยิ่งใหญ่ที่สุดของนักวิทยาศาสตร์ชาวมุสลิม
คือการค้นพบเกี่ยวกับการบำบัดรักษาโรค
ในช่วงยุคกลางวงการแพทย์มุสลิมรุ่งเรืองอย่างมาก แพทย์เป็นผู้นำในการและวินิจฉัยและรักษาโรคต่างๆ
ขณะที่ความรู้ทางศัลยกรรม
และนวัตกรรมค้านเครื่องมือทางการแพทย์ ก้าวหน้าอย่างไม่มีใครเทียบได้ในเวลานั้น
อิบนุ ซีนา หรือที่ชาวยุโรปเรียกันว่า
เอวิเซ็นนา(Avicenna) เป็นนักวิทยาศาสตร์มุสลิมคนหนึ่ง ที่เกิดในปี ค.ศ.980 ในดินแดนทางตะวันอกเฉียงเหนือของอาณาจักรอับบาสิด (อุสเบกิสถานปัจจุบัน)
บิดาของเขาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดท้องถิ่นแห่งหนึ่งของเปอร์เซีย
และเป็นนักวิชาการมีเกียรติ
อิบนุซีนาจึงพูดภาษาเปอร์เซียเช่นเดียวกับผู้มีการศึกษาในส่วนอื่นๆ ของโลก
เขาเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมาก
สามารถจดจำอัล-กุรอานได้ทั้งเล่มเมื่ออายุได้เพียงเจ็ดขวบ
ทั้งที่ภาษาอาหรับไม่ใช่ภาษาของเขา ในขณะที่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น
เขาได้เรียนรู้ระบบการนับเลขแบบอินเดียจากครูที่เป็นนักเดินทาง
เมื่ออิบนุซีนาอายุสิบแปดปี
เขาประสบความสำเร็จในการเป็นหมอที่รักษาผู้ป่วยให้หายได้จำนวนมาก
อิบนุซีนากลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมากจนกระทั่งสุลต่านนูฮฺ
อิบนฺ มันซูรฺ แห่งบุคอรอได้มาหาเขาเพื่อให้ช่วยรักษาอาหารป่วย
เมื่ออิบนุซีนาสามารถรักษาอาการป่วยของสุลต่านผู้นั้นได้
สุลต่านจึงให้เขาทำงานเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ซึ่งขณะนั้นอิบนุซีนามีอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น
เมื่อได้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของสุลต่านแล้ว
อิบนุซีนาก็ได้อ่านหนังสือหายากหลายเล่มจากในห้องสมุดของสุลต่าน
อิบนุซีนามีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ
หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออายุได้ยี่สิบปี อิบนุซีนาเป็นบุคคลแรกที่
"แรงกระตุ้นเป็นสัดส่วนของอัตราความเร็ว"
นี่คือสมการพื้นฐานที่อธิบายแรงผลักดันในทุกวันนี้ เขายังอ้างเหตุผลด้วยว่า
วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ในสุญญากาศนั้นยังคงเคลื่อนที่ไปโดยไม่ชะลอความเร็วลง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องอีกเช่นกัน อิบนุซีนายังได้กล่าวไว้อีกว่า
นักวิทยาศาสนาจะไม่มีทางประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนโลหะอย่างตะกั่ว หรือทองแดง
ให้กลายเป็นทองได้ ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์หลายคนจะพยายามทดลอง
ตำราทางการแพทย์ของอิบนุซีนาตั้งแต่
ค.ศ. 1000 เป็นต้นมา
อิบนุซีนายังได้เขียนตำราทางการแพทย์เป็นภาษาอาหรับไว้ด้วยเช่นกัน
ซึ่งแพทย์ได้ใช้กันทั่วอาณาจักรอับบาสิด และเมื่อตำรานี้ถูกแปลเป็นภาษาละติน
ก็ได้ถูกนำมาใช้ไปทั่วทั้งยุโรปเช่นกัน ตลอดช่วงสมัยของยุคกลาง
อิบนุซีนายังอาจจะเป็นบุคคลแรกที่ได้รู้ว่า คนเราสามารถติดเชื้อโรคต่างๆ
จากคนด้วยกัน เช่นโรคหัด ไข้ทรพิษ หรือวัณโรค
ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักเชื้อโรคเลย เพราะยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์
เมื่อสุลต่านสิ้นพระชนม์ลง รัชทายาทชื่อ อะลี อิบนฺ ชามส์ อัล-เดาลา
ได้ขอให้อิบนุซีนาดำรงตำแหน่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ต่อไป
แต่เขาตกลงที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังของโอรสของสุลต่านอีกคนหนึ่ง คือ อะลา
อัล-เดาลา และจึงต้องหลบซ่อนตัว ในระหว่างช่วงเวลานี้เอง
เขาได้เขียนตำราเกี่ยวกับหลักปราชญาที่สำคัญเล่มหนึ่ง คือ "กิตาบุล-ชีฟา"
(หนังสือเรื่องการเยียวยา)
ครอบคลุมในเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์
ไปจนถึงเรื่องกายภาพหรือฟิสิกส์และชีวิตหลังความตาย
ในขณะที่กำลังเขียนเรื่องเกี่ยวกับวิชาตรรกศาสตร์นั้น อิบนุซีนาถูกจับกุมไปคุมขัง
แต่เขาหนีรอดไปได้และปลอมตัวเป็นซูฟีไปยังอิสฟาฮานเพื่อสมทบกับอะลา อัล-เดาลา
ในระหว่างนั้นเขาได้เขียนหนังสืออีกหลายเล่มเช่น กิตาบุล นาญาต, อัล-มันติก และ อัล-อิสฮารอต วะ อิตันบิฮาต เป็นหนังสือเกี่ยวศาสนาและหลักตรรกศาสตร์ นอกจากนี้งานเขียนของเขายังรวมไปถึงหนังสือเกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์, การแพทย์, ภาษาสาสตร์ และสัตวศาสตร์ด้วย อิบนุซีนายังเป็นนักกวีที่เขียนกวีได้อย่างไพเราะเช่นหนังสือ ฮัยย์ อิบนฺ ยักซัน อิบนุซีนายังทำงานเกี่ยวกับปรัชญาและการแพทย์ตลอดจนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองเรื่อยมาจนกระทั่งเขาเสียชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
วิทยาการในโลกมุสลิม
ยินดีต้อนรับสู่นิทรรศการ "วิทยาการในโลกมุสลิม" ที่เปิดโอกาสให้คุณได้สำสวจเรื่องการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในช่วง ยุคทองแห่งวิทยาศาสตร์ในโลกอิสลาม ช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยน และสร้างสรรค์ ต่อยอดองค์ความรู้ จากหลากหลายวัฒนธรรมโบราณ แลกการวางรากฐานสู่ยุคฟื่นฟูศิลปวิทยาการ และการพัฒนาวิทยาการสมัยใหม่
ในเมืองแห่งทะเลทราย กว่าพันปีที่แล้ว ขณที่อารยธรรมยุโรปเริ่มเสื่อมสลายในช่วงยุคมืด อารยธรรมอิสลามเริ่มเรืองรอง นักวิทยาศาสร์อิสลามค้นพบหลักการของเครื่องบิน,นิยามทฤษฎีการมองเห็น,พัฒนาวิชาตรีโกณมิติ และคิดระบบตัวเลขี่พวกเราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งบุกเบิกวิธีทางเคมีเชิงปริมาณ ตลอดจนวิธีที่ทันสมัยในการวางผังเมือง และสถาปัตยกรรม
นาฬิกาช้างพลังงานของ อัล-ญะซารี (Al-Jazari) ที่มีกลไกบอกเวลาทุก 30 นาที
กลไกการทำงานของนาฬิกาช้างพลังงานของ อัล-ญะซารี ซึ่งในท้องช้างบรรจุน้ำและมีถ้วยเจาะรูลอยน้ำ (ภาพที่ 2) หุ่นปราชญ์มุสลิมจะหมุนไปเรื่อยๆ ทุกนาที (ภาพที่ 3 ซ้าย) ถ้วยค่อยๆ จมน้ำและดึงให้กลไกเริ่มต้นใหม่ (ภาพที่ 3 ขวา) เมื่อเวลาและกลไกผ่านไป 30 นาที หุ่นนกอินทรีจะปล่อยลูกแก้วใส่ปากมังกรที่จะพลิกตัวเพื่อหย่อนลูกแก้วใส่ถ้วยในท้องช้าง
อับบาส อิบนิ ฟิรนาส –นักบินคนแรก
อับบาส อิบนิ ฟิรนาส (ค.ศ. 810-887หรือ พ.ศ.1353-1430) มุสลิมชาวอันดาลูเซียเป็นพหุสูต,นักประดิษฐ์,แพทย์,วิศวกร,และนักดนตรี ในปี ค.ศ. 880(พ.ศ.1423)
อิบนิ ฟิรนาส ได้สร้างเครื่องร่อนทำจากโครงไม้ไผ่ ผ้า และขนนกอินทรีย์เครื่องร่อนของ
อิบนิ ฟิรนาส มีหลักการทำงานเช่นเดียวกับปีกของนก และเครื่องบินที่เราใช้กันในปัจจุบัน
อิบนิ ฟิรนาส มีหลักการทำงานเช่นเดียวกับปีกของนก และเครื่องบินที่เราใช้กันในปัจจุบัน
อิบนิ อัล-ไฮษัม
เดวิด ลินด์เบิร์ก นักประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์เคยบันทึกไว้ว่า: “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอัลฮาเซนคือบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์แสงและสายตาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงศตวรรษที่ 17” (อัลฮาเซนคือชื่อละตินของอิบนุอัล-ไฮษัม) ช่างเป็นข้อสังเกตที่น่าประทับใจและถูกต้องอย่างเหลือเกิน แต่มิใช่เพียงแค่นั้น อัล-ไฮษัมยังมีอิทธิพลต่อยุโรปทั้งด้านศาสนศาสตร์ วรรณกรรม ศิลปะ และวิทยาศาสตร์
แม้จะมีบันทึกว่าอิบนุอัล-ไฮษัมเขียนตำราไว้หลายร้อยเล่ม แต่ส่วนใหญ่ได้สูญหายไปแล้ว และทุกวันนี้เรารู้จักเขาก็จากผลงานทัศนศาสตร์เชิงเรขาคณิต, ดาราศาสตร์, และคณิตศาสตร์ แต่ผลงานที่โดดเด่นที่สุดก็น่าจะได้แก่ กิตาบ อัล-มานาซีร (ตำราแสงและสายตา Book of Optics) ที่มี 7 หมวด ตีพิมพ์ช่วงปี 1028-38 ในตำราชุดนี้เองที่อัล-ไฮษัมมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ยุโรปทั้งในยุคกลางและยุคเรอเนสซอง ในความคิดผมแล้ว บทบาทของอัล-ไฮษัมที่มีต่อการพัฒนาความคิดของโลกตะวันตกในช่วงนั้นไม่ต่างไปจากบทบาทของผู้นำความคิดในยุคเรอเนสซองอย่างจ็อตโต, ฟีลิปโป บรูเนลเลสกี, ไมเคิลแองเจโล, และลีโอนาร์โด ดาวินชี
วงล้อภาพยนตร์
ให้เรามองที่จุดด้านว้ายมือ 10วินาที หลังจากนั้นมองที่จุดด้านขวามือ แล้วทายซิ ว่าใครเอ่ย?
นักสำรวจที่ยิ่งใหญ่ของชาวมุสลิม
เราอาจรู้จัก “คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส” (Christopher Columbus) ในฐานะนักสำรวจคนสำคัญของโลกและผู้ค้นพบทวีปอเมริกา (ที่ชาวอินเดียแดงครอบครองอยู่ก่อน) แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าในโลกของมุสลิมมีนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อ “เจิ้งเหอ” (Zheng He) เขาคือขันทีในราชวงศ์หมิงของจีน แต่เขาได้พลิกชะตาตัวเป็นผู้นำสำรวจ โดยล่องเรือลำใหญ่กว่าเรือของโคลัมบัสถึง 4 เท่า ซึ่งใหญ่พอที่จะเลี้ยงม้า แพะและยีราฟได้ ซึ่งเขาได้เดินทางสำรวจโลกถึง 7 เที่ยว
นอกจากเจิ้งเหอแล้ว ยังมี อิบนิ บะฏูฏะห์ (Ibn Battuta) ชาวโมร็อกโก และนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่อีกคนของโลกมุสลิมในสมัยศตวรรษที่ 13 ที่เริ่มต้นเดินทางขณะมีอายุเพียง 21 ปี และได้จาริกแสวงบุญจากเมืองโมร็อกโก สู่นครมักกะห์ อีกทั้งยังได้เดินทางไปเยือนประเทศมุสลิมในยุคสมัยของเขาครบทุกประเทศ โดยใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 29 ปี รวมระยะทางกว่า 120,000 กิโลเมตร
นอกจากเจิ้งเหอแล้ว ยังมี อิบนิ บะฏูฏะห์ (Ibn Battuta) ชาวโมร็อกโก และนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่อีกคนของโลกมุสลิมในสมัยศตวรรษที่ 13 ที่เริ่มต้นเดินทางขณะมีอายุเพียง 21 ปี และได้จาริกแสวงบุญจากเมืองโมร็อกโก สู่นครมักกะห์ อีกทั้งยังได้เดินทางไปเยือนประเทศมุสลิมในยุคสมัยของเขาครบทุกประเทศ โดยใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 29 ปี รวมระยะทางกว่า 120,000 กิโลเมตร
เส้นทางล่องเรือของเจิ้งเหอ
ด้านคณิตศาสตร์
เลขอารบิกเป็นอีกองค์ความรู้จากโลกมุสลิมที่ถูกนำไปใช้จนเป็นสากล
อัล-ควาริศมี (ค.ศ.780-850)
เป็น “บิดาแห่งพีชคณิต” เขาเป็นทั้งนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชื่อก้อง คอลีฟะฮ์อัล-มะอ์มูน (Al-Ma’Mun ค.ศ.786-833) เป็นผู้เรียกตัวเขาเข้าแบกแดด แล้วแต่งตั้งให้เป็นนักดาราศาสตร์แห่งราชสำนัก คำว่า “อัลจีบรา” (Algebra พีชคณิต) มาจากชื่อตำราคณิตศาสตร์เล่มโด่งดังของอัล-ควาริศมี ‘ฮิซาบ อัล-จับบัร วาอัล-มุฆบาลา’ (Hisab Al-Jabr Mugabalah หรือ Book of Calculations, Restoration, and Reduction) ตำราคณิตศาสตร์ฉบับแปลภาษาละตินของเขาเล่มนี้ถูกค้นพบในปีค.ศ.1857 ที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ชื่อว่า ‘Algoritimi de Numero Indorum’ หน้าแรกของหนังสือเขียนว่า “อัลกอริธมีกล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ผู้นำและพิทักษ์เรา” (Spoken has Algoritimi. Let us give deserved praise to God, our Leader, and Defender) ซึ่งคาดว่าในฉบับภาษาอาหรับอัล-ควาริศมีได้เริ่มหน้าแรกของหนังสือเพียงว่า “บิสมิลลาฮิรฺรอฮฺมานิรฺรอฮีม” แปลว่า “มวลการสรรเสริญเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ผู้นำและพิทักษ์เรา” ซึ่งเป็นคำกล่าวของมุสลิมทุกคนเมื่อเริ่มต้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เมื่อชาวคริสเตียนแปลหนังสือออกมา ย่อมต้องบอกว่าอัล-ควาริศมีเป็นผู้กล่าวคำสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของชาวมุสลิม ไม่ใช่ตนเป็นคนกล่าว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)